ไทยโพสต์
: วันที่ 19 มีนาคม 2554
นักวิชาการ ม.มหิดล
ย้ำเบตาดีนไม่สามารถป้องกันกัมมันตภาพรังสีได้ แนะคนไทยยังไม่จำเป็นต้องใช้
ด้านนักวิชาการยันไทยไม่ได้รับอันตรายโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะระเบิด
รศ.ดร.จุฑามณี
สิทธิสีสังข์ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล
กล่าวถึงกรณีเกิดกระแสลือว่าใช้ยาเบตาดีนทาป้องกันสารกัมมันตรังสีที่รั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ ว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะถึงแม้ยาดังกล่าวจะมีส่วนผสมของโพรวิโดนไอโอดีน ซึ่งเป็นศัพท์ทางการแพทย์ก็ตามแต่ มีในปริมาณที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับสารโปรแตสเซียมไอโอไดด์ นอกจากนี้ การใช้ยาเบตาดีนยังไม่ใช่วิธีการรักษาตามมาตรฐาน
เพราะตัวยาดังกล่าวยังไม่มีข้อมูลยืนยันที่เพียงพอและปริมาณการดูดซึมทางผิวหนังจะเพียงพอต่อความต้องการตามวัตถุประสงค์ของการใช้ เพราะประสิทธิภาพของตัวยาจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ทา เช่น บริเวณหน้าอก หน้าท้อง ต้นแขน เป็นต้น
ซึ่งแต่ละแห่งจะมีความแตกต่างของชั้นไขมัน อุณหภูมิของร่างกาย และความชื้นของผิวหนัง อย่างไรก็ตาม
ในประเทศไทยยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้สารโปรแตสเซียมไอโอไดด์
หรือยาเบตาดีนแต่อย่างใด
ด้าน รศ.มานัส มงคลสุข หัวหน้าภาควิชารังสีเทคนิค คณะเทคนิคการแพทย์ ม.มหิดล
กล่าวถึงการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่น พบว่ามีการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีสูงถึง 600 ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าระดับปกติที่ยอมรับได้ถึง 3,000 เท่า ซึ่งจะเป็นอันตรายกับผู้ที่อยู่ในอาณาบริเวณ 20-30 กม.
สารกัมมันตรังสีดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทยอย่างแน่นอน เพราะสารซีเซียม
137 และสารไอโอดีน 131 จะมีครึ่งช่วงชีวิตประมาณ 8 วัน
และถึงแม้กระแสลมเปลี่ยนทิศหอบเอาสารกัมมันตรังสีเข้ามายังประเทศไทย ก็อาจจะต้องใช้เวลาในการเดินทางประมาณ
2 สัปดาห์ และต้องผ่านทั้งภูเขา ต้นไม้
ทำให้ปริมาณสารดังกล่าวต่ำลงหรือสูงกว่าปกติเล็กน้อย ซึ่งไม่น่ากังวล
...........................................................
|