วันที่: 12 กรกฎาคม 2554
ที่มา: มติชน ออนไลน์ (www.matichon.co.th)
ลิงค์: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1310462334
องค์การหมอไร้พรมแดนเห็นว่า ข้อตกลงที่บริษัทยา กิลิแอด (Gilead) อนุญาตให้ยาต้านไวรัสติดสิทธิบัตรหลายตัว
จัดการโดยองค์กรจัดการสิทธิบัตรยาร่วม (Medicine Patent Pool) จะสามารถพัฒนาการเข้าถึงยาได้ในประเทศยากจน
แต่ได้จำกัดสิทธิของผู้ติดเชื้อในประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากออกไป
“ข้อตกลงดังกล่าว
ถือเป็นการพัฒนาขึ้นจากสิ่งที่บรรษัทยาข้ามชาติกำลังทำเพื่อการเข้าถึงยา
ต้านไวรัสของผู้ป่วยในประเทศกำลังพัฒนา” นางมิเชล ไชด์
ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายของฝ่ายรณรงค์เข้าถึงยาจำเป็น องค์การหมอไร้พรมแดนกล่าว “แต่ข้อน่าห่วงใยคือ บ.กิลิแอดไม่ได้ทำมากกว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่เดิม
ทั้งที่จริงควรทำมากกว่านี้เพื่อให้ระบบจัดการร่วมสิทธิบัตร หรือ Patent
Pool สามารถเป็นทางออกเพื่อการเข้าถึงยาของผู้ติดเชื้อถ้วนหน้า
ดังนั้น ข้อตกลงนี้จึงไม่ควรเป็นต้นแบบของข้อตกลงอื่นๆในอนาคต”
ในด้านบวก ข้อตกลงดังกล่าวได้ครอบคลุมถึงยาต้านไวรัสตัวใหม่ซึ่งอยู่ระหว่างการทดลอง
2 ตัว คือ cobicistat และ elvitegravir
นอกเหนือจากยาต้านไวรัส Tenofovir ที่สำคัญแล้ว
ซึ่งนี่จะสามารถสร้างความมั่นใจให้ประเทศกำลังพัฒนาในการเข้าถึงยาเทียมเท่า
กับประเทศร่ำรวย
ข้อตกลงดังกล่าว อนุญาตให้บริษัทยาชื่อสามัญมาขอเพื่อไปผลิตยาสูตรรวมเม็ด
หรือขนานสำหรับเด็ก แต่ยังระบุถึงกลไกยืดหยุ่นในความตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญา
โดยหากประเทศใดถูกยกเว้นไม่ให้เข้าใช้สิทธิบัตรยานี้
บริษัทยาชื่อสามัญสามารถจำหน่ายให้ประเทศนั้นๆได้ หากรัฐบาลของประเทศนั้นประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิหรือ
CL และหากในประเทศที่กิลิแอดไม่ได้สิทธิบัตรบริษัทยาชื่อสามัญก็สามารถยกเลิก
ข้อตกลงได้ทันที โดยข้อตกลงทั้งหมดต้องเปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อความโปร่งใส
ในด้านลบ
ข้อตกลงนี้ละเลยเงื่อนไขสำคัญที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาสาธารณสุขจากปัยหาเอ
ชไอวีเอดส์ โดยจำกัดการแข่งขันด้านราคา
โดยอนุญาตให้ประเทศอินเดียเท่านั้นที่ทำการผลิตได้ และจำกัดแหล่งวัตถุทางยา
และที่สำคัญที่สุด
ยังละเลยผู้ติดเชื้อในประเทศกำลังพัฒนาที่มีฐานะปานกลางออกไปจำนวนมาก อาทิ
ประเทศแถบละตินอเมริกา, ยุโรปตะวันออก และ อาเซียน รวมทั้งจีนด้วย
หลายประเทศในจำนวนนี้คือประเทศที่มีโครงการให้ยาต้านไวรัสกับผู้ติดเชื้อมา
นานกว่าทศวรรษ
ซึ่งต่างจากใบอนุญาตใช้สิทธิบัตรฉบับแรกของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐ อเมริกา (NIH)
ที่ให้กับประเทศกำลังพัฒนาทุกประเทศ หากกลไกสมัครใจเช่น
ระบบการจัดการสิทธิบัตรร่วม หรือ Patent Pool ไม่สามารถรับรองการเข้าถึงยาของประชาชนได้
ประเทศที่ถูกกีดกันออกไปต้องตัดสินใจใช้มาตรการที่เข้มข้น เช่น การประกาศซีแอล
“หลายประเทศดูแลให้การรักษาผู้ป่วยของตัวเองพอได้ แล้ว
หากประชาชนในประเทศกำลังพัฒนาถูกกีดกันออกไปจากข้อตกลงเช่นนี้
รัฐบาลในประเทศนั้นๆต้องพิจารณาใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิหรือซีแอลเพื่อแก้
ปัญหาสิทธิบัตรที่ขวางการเข้าถึงยาอยู่”
สำหรับแนวความคิดเริ่มแรกในการจัดการสิทธิบัตรยาร่วม
(Patent Pool) นั้นมุ่งหมายให้ใบอนุญาตสิทธิบัตรครอบคลุมทุกประเทศ
โดยบริษัทยาชื่อสามัญใดที่ได้มาตรฐานตามที่กำหนดสามารถขออนุญาตเพื่อผลิตและ
จำหน่ายยาที่ติดสิทธิบัตรโดยจ่ายค่าสิทธิบัตรในราคาที่ไม่แพงนัก
แต่ในข้อตกลงครั้งนี้ ประเทศที่มีศักยภาพด้านการผลิตยาชื่อสามัญอย่างไทยและบราซิลถูกกีดกันออกไป
และยังไม่แก้ปัญหาให้ประเทศอย่างจีน ที่ยาเทโนฟโฟเวียร์ติดสิทธิบัตรอยู่
(ยาดังกล่าวไม่มีสิทธิบัตรในไทยและบราซิล)
|