วันที่: 27 กรกฎาคม 2554
ที่มา: เว็บไซต์ไทยโพสต์ (www.thaipost.net)
ลิงค์: http://www.thaipost.net/news/270711/42372
เปิดรับฟังความคิดเห็นร่าง
กม.ส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ทุกฝ่ายแม้แต่บริษัทยา
ยอมรับว่าต้องมีกฎควบคุมจริยธรรมผู้เกี่ยวข้อง
เพราะที่ผ่านมาการส่งเสริมการขายยาใช้เทคนิคสารพัด ทั้งน่าเกลียด ฉกฉวยโอกาส
สร้างกำไรมหาศาล แต่รายจ่ายค่ายาภาครัฐบานเบอะ นพ.ธีรวัฒน์ชี้รัฐบาลใหม่ควรผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ
แนวทางลงโทษเริ่มจากเบาๆ ทั้งอบรมตักเตือน ทัณฑ์บน ไปถึงขั้นติดคุกขอเวลาร่างเป็น
กม. 2 ปี
คณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ ยาอย่างสมเหตุผล
ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ (กพย.) นำโดย ศ. (คลินิก) นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ ประธานอนุกรรมการฯ และ นพ.รุ่งนิรันดร์
ประดิษฐสุวรรณ
ประธานคณะทำงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมจริยธรรมผู้สั่งใช้ยาและยุติการ
ส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรม
ภายใต้อนุกรรมการร่วมกับ กพย. และองค์การอาหารและยา (อย.) จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อร่างเกณฑ์จริยธรรมว่าด้วยการส่งเสริมการขายยา
ของประเทศไทยเป็นครั้งสุดท้าย โดยมีเภสัชกรในสถานพยาบาล สถานบริการเภสัชกรรม บริษัทยา ผู้แทนยา
ผู้บริหาร ผู้จัดซื้อจัดหายาของสถานพยาบาลและสถานศึกษาเข้าร่วม
นพ.รุ่งนิรันดร์ กล่าวว่า การจัดทำร่างเกณฑ์จริยธรรมยาได้นำข้อมูลแนวปฏิบัติจากทั้งในประเทศและต่าง
ประเทศมาปรับให้เหมาะสมกับประเทศไทย
ขณะเดียวกันคณะกรรมการได้เห็นความสำคัญใน 2 ประเด็น คือ 1.เมื่อเกณฑ์ดังกล่าวออกมาแล้วจะต้องมีกฎหมายเข้ามาส่งเสริมเพื่อให้การ
บังคับใช้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องอยู่
2. เรื่องการจัดตั้งกองทุนขึ้นมา 1
กองทุนสนับสนุนการเพิ่มความรู้ทางด้านการแพทย์
การสาธารณสุขโดยไม่ต้องพึ่งพิงบริษัทยามากเกินไปเหมือนปัจจุบัน
สำหรับ สาระในร่างเกณฑ์ดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 7 หมวด ประกอบด้วย
หมวดที่ 1 คำนิยาม หมวดที่ 2 ผู้สั่งใช้ยา
หมวดที่ 3 ผู้บริหาร ผู้มีอำนาจในการจัดซื้อยาในสถานพยาบาล
หน่วยงาน หมวดที่ 4 เภสัชกรในสถานพยาบาล หน่วยงาน และสถานบริการเภสัชกรรม หมวดที่ 5 บริษัทยา ผู้แทนยา หมวดที่ 6 สถานพยาบาล และหมวดที่ 7 สถานศึกษา ทั้งนี้
ได้มีการสำรวจความคิดเห็นในลักษณะส่งแบบสอบถามจำนวน 2,500
ฉบับ ไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง และได้รับการตอบกลับมา 400 ฉบับ
เมื่อเร็วๆ นี้นั้น ทางคณะทำงานคิดว่ายังไม่เพียงพอกับการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
จึงจัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้ขึ้นมา
โดยจะเป็นการรับฟังความคิดเห็นครั้งสุดท้าย ก่อนปรับตัวร่างเกณฑ์ จริยธรรม
และส่งให้ กพย.พิจารณาบังคับใช้ต่อไป
ด้าน ศ. (คลินิก) นพ.ธีรวัฒน์กล่าวว่า
เมื่อยากลายเป็นสินค้าจึงมีการส่งเสริมการขายที่ใช้วิธีการแข่งขัน เทคนิค
และกลวิธีการส่งเสริมการขายหลายรูปแบบที่สามารถสร้างกำไรได้อย่างมหาศาลใน แต่ละปี
ซึ่งบางเรื่องเป็นสิ่งที่น่าเกลียดและไม่สามารถยอมรับได้
โดยจะเห็นว่าที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาค่าใช้จ่ายในเรื่องยาที่
สูงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเมื่อปี 2551 พบว่าในระบบสวัสดิการข้าราชการมีค่าใช้จ่ายในการรักษา 54,904 ล้านบาท ต่อประชากร 5 ล้านคน ระบบหลักประกันสังคมและสุขภาพถ้วนหน้า
(สปสช.) มีมูลค่าการรักษา 98,700 ล้านบาท ต่อประชากร 57 ล้านคน นอกจากนี้ ข้อมูลในปี 2553 พบว่ามีมูลค่าการผลิตและนำเข้ายาแผนปัจจุบันที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ 154,107 ล้านบาท
"ดังนั้นจึงถือว่าเรื่องยาเป็นปัญหาระดับชาติ
แต่จำเป็นต้องเน้นเรื่องจริยธรรมในการขายยาที่ควรผลักดันให้เป็นวาระแห่ง ชาติ
และผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติก่อนจะกระจายไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้นการจัดทำร่างเกณฑ์นี้จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ
เพราะเมื่อมีการพาณิชย์เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้มีการฉกฉวยโอกาส และเราจำเป็นต้องอุดช่องโหว่เหล่านั้น"
ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์กล่าว
ส่วน
บทลงโทษในร่างเกณฑ์ดังกล่าวจะพิจารณาตามระเบียบข้อบังคับที่มีอยู่หลายระดับ
ตั้งแต่การอบรม ตักเตือน การทำทัณฑ์บน จนถึงขั้นการดำเนินการตามกฎหมาย
โดยจะพิจารณาจากวินัยของผู้ประกอบวิชาชีพเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการรวบรวมข้อเสนอแนะและปรับแก้ร่างสุดท้ายในวันนี้
แล้วจะได้นำเรื่องเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ
และไม่แน่ใจว่าต้องทำประชาพิจารณ์เพิ่มเติมอีกครั้งหรือไม่
เนื่องจากท่านได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวไปแล้ว
“การมีกฎ
ระเบียบที่แน่นอน อำนาจหรือผลประโยชน์ก็ไม่สามารถมาบังคับเราได้” ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์กล่าว และว่า เรื่องนี้รัฐบาลต้องเอาจริง เพราะเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ
แต่ถ้ายังมองไม่เห็นก็ไม่ควรมาบริหารประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ภายในงานยังจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องกับ
การจัดทำร่างเกณฑ์ดังกล่าว โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทยาและผู้แทนการขาย
ซึ่งในที่ประชุมมีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง
โดยมติที่ประชุมเห็นด้วยกับร่างเกณฑ์ดังกล่าว แต่ยังขอให้มีการปรับปรุงแก้ไขในข้อความและสาระบางตอน
ซึ่งทางอนุกรรมการรับจะนำไปประมวลผลเพื่อ ปรับแก้อีกครั้ง
โดยกำหนดระยะเวลาการทำงานเอาไว้ 2 ปี
|