ทีวีไทย : วันที่ 9
พฤศจิกายน 2553
เครือข่ายเภสัชกรเรียกร้องให้
อย.เพิกถอนยารักษาผู้ป่วยเบาหวานโรซิกรีทาโซนจากทะเบียนตำรับยา หลังมีข้อมูลวิจัยพบว่ายาชนิดนี้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
โดยข้าราชการเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ใช้ยาชนิดนี้มากที่สุด
ในการประชุมหัวข้อ
ความเสี่ยงในการใช้ยาของคนไทยกรณีศึกษายาเบาหวาน โรซิกรีทาโซน โดย ผศ.ภญ.ดร.นิยดา
เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวัง และพัฒนาระบบยา กล่าวว่า
ยาโรซิกรีทาโซน เป็นยาที่ใช้รักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หลังจากที่ผู้ป่วยเบาหวานไม่สามารถใช้ยาเบาหวานขั้นพื้นในการควบคุมน้ำตาลได้
ซึ่งยาชนิดนี้ได้นำมาจำหน่ายในไทยตั้งแต่ปี 2542 ขณะนี้มีงานวิจัยชี้ชัดว่ายานี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
โดยล่าสุดสำนักยาแห่งยุโรป ซึ่งมีประเทศสมาชิก 27 ประเทศ ได้เพิกถอนรายชื่อยานี้ออกจากตำรับยาไปแล้ว
เช่นเดียวกับประเทศซูดาน อียิปต์ และอินเดีย
ขณะที่ประเทศไทย
ยังไม่ได้เพิกถอนยาชนิดนี้ แม้ยาโรซิกรีทาโซนจะไม่ได้อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพราะมีราคาแพงและเสี่ยงต่อความปลอดภัย
แต่ยังพบว่ามีโรงพยาบาลหลายแห่งยังสั่งจ่ายยาชนิดนี้ให้กับผู้ป่วยเบาหวาน
สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ยาโรซิกรีทาโซน
มากที่สุด คือกลุ่มข้าราชการที่สามารถเบิกจ่ายยาได้อย่างเต็มที่ โดยจำนวนการสั่งใช้ยาผู้ป่วยนอกในกลุ่มข้าราชการตั้งแต่ปี
2551 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยปี
2551 พบ 29,003 เม็ด คิดเป็นมูลค่า 3
ล้านบาท ปี 2552 พบการใช้ 36,121 เม็ด มูลค่า 3.7 ล้านบาท และปี 2553 มีการสั่งจ่ายยา 37,057 เม็ด เป็นมูลค่า 4 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มผู้ป่วยในระบบประกันสุขภาพและประกันสังคม มีแนวโน้มการใช้ยานี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ด้าน
ภก.ณธร ชัยยาคุณาพฤกษ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยผลลัพท์ทางเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวถึงการวิจัยความคุ้มค่าของการใช้ยา ไพโอกรีตาโซน ซึ่งเป็นยารักษาโรคเบาหวานที่อยู่ในบัญชียาหลัก
เทียบกับยา โรซิกรีทาโซน พบว่า แม้ยาไพโอกรีตาโซน จะมีราคาสูงกว่ายาโรซิกรีทาโซน แต่มีข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่ายาชนิดนี้ก่อให้เกิดความปลอดภัยต่อระบบหัวใจ
และหลอดเลือดที่สูงกว่า จึงจัดเป็นยาที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และในแง่ความปลอดภัย
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาระบุว่า ได้ทำหนังสือถึงบริษัทยาชนิดดังกล่าว
โดยขอให้เพิกถอนยาโรซิกรีทาโซนตามความสมัครใจ ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2553 แล้ว
.
|