search ค้นหาภายในเว็บไซต์
 
 
โลโก้ กพย. โลโก้ สสส.
 
ลิงค์
บล็อก กพย.

เว็บไซต์ KnowSteroid

Facebook โฆษณา

Facebook สเตียรอยด์
Facebook Twitter
Youtube กพย.



สถิติ

ปรับปรุง : 7/03/2018
สถิติผู้เข้าชม:6531966
การเปิดหน้าเว็บ:9376094
Online User Last 1 hour (0 users)


 
  ‘โรต้าไวรัส’วายร้ายที่คุณแม่ต้องระวัง
  19 ธันวาคม 2554
 
 


วันที่: 19 ธันวาคม 2554
ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ปีที่ 13 ฉบับ ที่ 3187
ลิงค์: www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=60935
         

คุณรู้หรือไม่ว่า การเลี้ยงดูลูกน้อยแรกเกิดของพ่อแม่มือใหม่เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ทั้งกิน นอน ขับถ่าย ซึ่งปัจจุบันสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยปู่ย่าตายาย แถมยังมีเชื้อโรคหลากหลาย เป็นเหตุให้ลูกน้อยของท่านต้องเผชิญอันตรายรอบด้านมากขึ้น

โดยเฉพาะในปีนี้ที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตของอุทกภัยที่เลว ร้ายที่สุดในรอบ 50 ปี ซึ่งเราทุกคนได้แต่หวังว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่จะผ่านพ้นไปเร็วๆเพื่อรอรับ ลมหนาวที่กำลังจะเข้ามาแทนที่ แต่สำหรับพ่อแม่ลูกอ่อน ลมหนาวที่กำลังจะคืบคลานเข้ามาครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยร้ายที่ทำให้ ต้องขวัญผวากันอีกครั้ง เมื่อไวรัส-วายร้ายอย่างเชื้อไวรัสโรต้า ตัวการท้องเสียในเด็ก จะเจริญเติบโตดีเป็นพิเศษในช่วงหน้าหนาว เป็นเหตุให้ภาวะท้องเสียจากเชื้อไวรัสเกิดการแพร่กระจายไปสู่ลูกน้อยได้โดย ง่ายและรวดเร็ว

ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงเชื้อไวรัสโรต้านี้ว่า เชื้อไวรัสทุกชนิดจะระบาดในช่วงที่อากาศเย็น เชื้อไวรัสโรต้าก็เช่นกัน สามารถทนอยู่ในสภาพแวดล้อมต่างๆได้นานขึ้น เด็กๆจึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโรต้าเพิ่มขึ้นในช่วงหน้าหนาวนี้ ต่างจากช่วงหน้าร้อน แค่โดนแดดเชื้อไวรัสก็ตายแล้ว ความน่ากลัวของไวรัสโรต้าก็คือ ต่อให้เราป้องกันดูแลรักษาความสะอาดดีอย่างไร เชื้อไวรัสก็สามารถแพร่ระบาดไปสู่เด็กๆได้ตลอดเวลา เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีมีโอกาสติดเชื้อไวรัสโรต้าใน ช่วง 2 ขวบปีแรก และเด็กที่ถูกเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมที่ดีอาจมีโอกาสติดเชื้อในตอนโต หรือช่วงวัยที่เข้าโรงเรียนแล้ว

เมื่อพูดถึงไวรัสโรต้าอาจไม่ใช่เรื่องใหม่ของคุณแม่ในโลกยุคดิจิตอล แต่ถ้าพูดถึงความร้ายกาจของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วงอย่าง รุนแรง และก่อให้เกิดผลเสียตามมาต่อพัฒนาการของลูกน้อยในอนาคต คงมีคุณแม่จำนวนมากที่ยังไม่รู้ เพราะถึงแม้ลูกน้อยจะหายจากโรคเป็นปรกติ แต่เจ้าไวรัสโรต้าไม่ใช่จะทำให้เกิดแต่อาการท้องเสียเท่านั้น ช่วงที่ติดเชื้อร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมสารอาหารและเกลือแร่ได้ โดยเฉพาะเด็กเล็กในวัย 1-2 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงวัยแห่งพัฒนาการทั้งร่างกาย สมอง และระบบประสาท หากเด็กเกิดการติดเชื้อในทางเดินลำไส้จะส่งผลต่อการดูดซึมสารอาหาร และย่อมส่งผลกระทบต่อการยับยั้งพัฒนาการของลูก ไม่ว่าจะเป็นด้านศักยภาพสมอง กระบวนการคิดและเรียนรู้ รวมทั้งการเจริญเติบโตของร่างกายในอนาคตได้

ศ.นพ.สมศักดิ์กล่าวอีกว่า โรคท้องร่วงรุนแรงในเด็กเล็กนั้นถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพ่อแม่ เพราะทำให้เด็กไม่สามารถรับประทานอาหารได้จนขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการ เจริญเติบโต สำหรับเด็กเล็กนั้นถือเป็นช่วงวัยที่มีพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกายและสติ ปัญญาอย่างรวดเร็วและมากมาย โดยเฉพาะในวัยนี้เป็นช่วงวัยที่สำคัญมากในการพัฒนาโครงสร้างสมอง และจะมีผลต่อพัฒนาการของสมองต่อไปจนเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วง 2 ปีแรกเด็กจะตัวโตเร็วมาก ถ้าหากเด็กขาดสารอาหารที่สำคัญต่อพัฒนาการของสมองแม้จะแค่ไม่กี่วันก็ตามก็ จะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้และความฉลาดของลูก ในขณะที่ร่างกายเมื่อไม่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกายจะ ทำให้น้ำหนักและความสูงไม่เป็นไปตามวัย เพราะกว่าที่ลูกจะหายป่วยก็ต้องใช้เวลาหลายวัน ที่สำคัญเราไม่อาจเรียกคืนช่วงนาทีทองของการเจริญเติบโตที่สูญเสียไป และอาจกลายเป็นผลเสียต่อเด็กในอนาคต

มีการศึกษาวิจัยพบว่า เด็กที่ได้รับเชื้อไวรัสโรต้าและมีอาการของโรคท้องเสียซ้ำๆในช่วงวัย 1-2 ปี จะได้รับผลกระทบต่อร่างกายด้านต่างๆ เช่น ความสูงที่อาจจะต่ำกว่าเด็กทั่วไปถึง 8.2 ซม. ในวัยก่อน 7 ปี หรือความพร้อมต่อการเรียนรู้ช้ากว่าเด็กทั่วไปในช่วงวัยเรียน และยิ่งในเด็กที่ท้องร่วงซ้ำๆก่อนอายุ 2 ปี จะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางสมองหรือไอคิวต่ำกว่าเด็กวัยเดียวกันถึง 10 จุด (ข้อมูลจาก  Petri WA Jr, Miller M, Binder HJ, et al. Enteric infections, diarrhea, and their impact on function and development. J Clin Invest. 2008) นอกจากนี้การศึกษาวิจัยยังพบอีกว่า เชื้อไวรัสโรต้านี้มีผลต่อภาวะขาดสารอาหารตั้งแต่เด็ก ซึ่งส่งผลกระทบทำให้น้ำหนักของเด็กบางคนเพิ่มขึ้นน้อยกว่าปรกติ

จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าเด็กร้อยละ 98 จะติดเชื้อไวรัสโรต้าอย่างน้อยหนึ่งครั้ง โดยเฉพาะเด็กเล็กในวัย 6 เดือนถึง 5 ขวบ ทุกคนมีโอกาสติดเชื้อไวรัสโรต้าได้โดยง่าย แต่ก็มีบางกรณีที่เกิดขึ้นกับเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งคุณแม่ต้องระมัดระวังเรื่องนี้ไว้ให้มาก เพราะเด็กเล็กจะมีอาการรุนแรงมากกว่าในเด็กโต สำหรับอาการเบื้องต้นที่สามารถสังเกตได้คือ มีไข้ อาเจียน ท้องร่วง บางรายอาจเกิดภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง และต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือไปหลายวันเลยทีเดียว

ศ.นพ.สมศักดิ์ยังแนะนำถึงวิธีป้องกันโรคร้ายนี้อีกด้วยว่า โรคท้องร่วงจากไวรัสโรต้าเป็นโรคที่ไม่สามารถใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาให้หาย ได้ ต้องรักษาไปตามอาการแบบประคับประคอง และให้น้ำเกลือ ดังนั้น วิธีป้องกันที่ดีที่สุดจึงแนะนำให้ลูกน้อยได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันและลด ความรุนแรงของโรค รวมทั้งแม่ควรให้นมลูกอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อให้เด็กมีภูมิคุ้มกันที่ดี นอกจากนี้เบื้องต้นพ่อแม่ยังสามารถป้องกันโรคนี้ด้วยการรักษาความสะอาดให้ ถูกสุขลักษณะ โดยหมั่นล้างมือให้ตนเองและลูกอยู่เสมอ

เมื่อคุณแม่รู้ถึงความร้ายกาจของไวรัสตัวนี้แล้วก็อย่ากังวลจนมากเกินไป เพราะวิธีป้องกันที่ถูกต้องนั้นง่ายนิดเดียว การป้องกันโรคท้องร่วงรุนแรงจากเชื้อไวรัสโรต้าอย่างมีประสิทธิภาพมากวิธี หนึ่งคือ การให้ลูกน้อยได้รับการปกป้องด้วยวัคซีน ยิ่งถ้าได้รับวัคซีนเร็วเท่าไร ลูกก็จะยิ่งได้รับการปกป้องเร็วขึ้นเท่านั้น ซึ่งคุณแม่ก็จะสามารถมั่นใจว่าลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโรต้าแล้ว ก่อนที่จะเข้าวัยเสี่ยง

โดยเฉพาะคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ หรือมีลูกในช่วงวัยไม่เกิน 2 เดือน ควรรีบมาปรึกษาแพทย์ตั้งแต่ต้น วัคซีนมี 2 ชนิดคือ ชนิดที่กิน 2 ครั้ง และชนิดที่กิน 3 ครั้ง โดยวัคซีนที่กิน 3 ครั้ง จะให้กินเมื่อเด็กอายุ 2, 4, 6 เดือน ซึ่งจะให้การป้องกันหลัง 6 เดือน แต่สำหรับวัคซีนที่กิน 2 ครั้ง จะให้เมื่อเด็กอายุ 2, 4 เดือน ซึ่งจะทำให้ได้รับการป้องกันเร็วตั้งแต่ 4 เดือน เพื่อป้องกันภัยร้ายจากไวรัสโรต้าที่ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพและภาวะจิต ใจของคุณแม่เท่านั้น ยังส่งผลต่อพัฒนาการด้านต่างๆของลูกน้อยในอนาคตอีกด้วย



ที่มา : หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน ปีที่ 13 ฉบับที่ 3187 ประจำวันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2554 คอลัมน์ รายงาน โดย ทีมข่าวการเมือง