ปลัด สธ.คาด จะลงโทษข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบนำยาซูโดอีเฟดรีนออกจาก รพ.ในสัปดาห์นี้ ย้ำ ใครทำผิดจะถูกลงโทษเด็ดขาด ไม่มีลูบหน้าปะจมูก

วันนี้ (19 มี.ค) ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ กทม. นายแพทย์ ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ปลัด สธ.) ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับ ความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนของโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศ ว่า ตั้งแต่เริ่มมีพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และนายกรัฐมนตรี ที่ได้ประกาศนโยบายพลังแผ่นดินเอาชนะปัญหายาเสพติด ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบ 2 เรื่อง คือ 1.การควบคุมสารตั้งต้น และ 2.การรักษาพยาบาลผู้ติดยาเสพติด โดยในเรื่องของสารตั้งต้น กระทรวงสาธารณสุข ได้แก้ไขปัญหามาโดยตลอด เช่น ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศยกระดับยาซูโดอีเฟดรีนที่เป็นยาเดี่ยวจากยาควบคุมพิเศษเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ต่อมาได้ยกระดับยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนจากยาทั่วไปให้เป็นยาควบคุมพิเศษ และขณะเดียวกัน ได้ยกระดับให้ยาสูตรผสมซูโดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ซึ่งเรื่องนี้มีความสำคัญ เพราะหากไม่ยกระดับจะไม่สามารถรู้ได้ว่ามีการสั่งซื้อยาและใช้ยาไปจำนวนเท่าใด

“หลังจากที่ได้มีการประกาศและได้ดำเนินการไปแล้ว ผมได้ย้ำกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ ในการประชุมประจำเดือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ได้เน้นย้ำผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขให้ลงไปกำกับพื้นที่ และเน้นย้ำให้ทุกจังหวัดส่งรายงาน พร้อมกับให้ระงับการสั่งซื้อ สั่งจ่ายยาสูตรผสมซูโดทั้งหมดตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ ประกาศไป” นายแพทย์ ไพจิตร์ กล่าว

นายแพทย์ ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องของโรงพยาบาลที่มีปัญหา ได้ใช้หลักการให้จังหวัดสืบหาข้อเท็จจริง โดยขณะนี้โรงพยาบาลอุดรธานี ได้ส่งรายงานมาเรียบร้อยแล้วที่ อกพ.จังหวัด แต่เนื่องจากข้าราชการที่ได้รับผลกระทบไม่อยู่ ในสัปดาห์นี้คาดว่าจะมีคำสั่งของจังหวัด ให้ข้าราชการผู้นี้ออกจากราชการ หรือไล่ออกจากราชการ ขึ้นอยู่กับจังหวัดพิจารณา ซึ่งได้เน้นย้ำความสำคัญของเรื่องนี้ และมีการจัดการที่เด็ดขาด

ส่วนโรงพยาบาลกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ โรงพยาบาลทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ และโรงพยาบาลดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ รายงานจะมาถึงภายในวันนี้ หรือพรุ่งนี้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะได้ดำเนินการต่อไป หากเกี่ยวข้องถึงใครก็จะจัดการทั้งหมด ไม่มีการลูบหน้าปะจมูก เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต้องการจะให้จบสิ้นภายในสัปดาห์นี้