ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24
มีนาคม 2554
สสส.จับมือองค์กรภาคีเครือ
ข่ายรณรงค์ขับเคลื่อนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินยาคุมฉุกเฉินแบบพร่ำเพรื่อ เผย ระยะ
10 ปีที่ผ่านมา
มียอดการผลิตและนำเข้ายาคุมฉุกเฉินในประเทศ เฉลี่ยปีละ 8 ล้านกล่อง
คิดเป็นมูลค่ากว่า 600 ล้านบาท ผลสำรวจชี้ วัยรุ่นอายุ 16-20
ปี ซื้อยาคุมฉุกเฉินมาใช้มากที่สุด เข้าใจผิดว่าเป็นยาทำแท้ง
สะท้อนถึงพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Sex) ของคนในสังคมไทย ที่ขาดการป้องกัน และใช้ยาคุมฉุกเฉินอย่างน้อยประมาณ 20,000
ครั้งต่อวัน ซึ่งมีโอกาสตั้งครรภ์ หรือแพร่ หรือรับเชื้อ HIV
ซ้ำร้ายท้องนอกมดลูกถึงตาย แนะถุงยางช่วยได้
วันนี้
(24 มี.ค.) ณ ลานกิจกรรมชั้น 35 สสส.อาคาร
SM ทาวเวอร์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.) โดยแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) ร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่ายนักศึกษาระดับอาชีวศึกษา
องค์การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการสาธารณสุข (แพธ), สมาคมเภสัชกรรมชุมชนแห่งประเทศไทย
และมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว จัดเสวนาเรื่อง เปิดมุมมองพฤติกรรมการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
อันตรายเสี่ยงติดเอดส์-ท้องไม่พร้อมเพื่อ ขับเคลื่อนการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน
โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่มีความเสี่ยงในการใช้ยาคุมฉุกเฉินผิดวิธี ให้เข้าใจและป้องกันตนได้
โดยจัดทำสื่อรณรงค์เรื่องการใช้ยาคุมฉุกเฉินที่ถูกต้องเผยแพร่ผ่านเครือข่าย ร้านขายยาทั่วประเทศ
และสนับสนุนให้เครือข่ายเยาวชนนำไปเผยแพร่รณรงค์ในกลุ่มวัยรุ่น นักเรียน นักศึกษาตามสถานศึกษาต่างๆ
เพื่อรณรงค์ปรับเปลี่ยนทัศนคติให้คนไทยหันมาใช้ถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิด การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย
เช่น เพศศึกษา และทักษะชีวิต ซึ่งจะป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และที่สำคัญยังป้องกันโรคเอดส์ได้มากที่สุด
ผศ.ดร.ภญ.นิยดา
เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการ
กพย.กล่าวถึงพฤติกรรมการใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน ว่า ปัจจุบันคนไทยโดยเฉพาะวัยรุ่นมีพฤติกรรมการใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินมากกว่า
ยาคุมแบบปกติ และได้รับความนิยมมากกว่ายาทำแท้ง จากผลการวิจัยเรื่องความรู้เกี่ยวกับยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินในนักศึกษาระดับ
ปริญญาตรีในเขตกรุงเทพมหานคร ของ นายเขมินท์ เอี่ยมน้อย พบว่า ผู้ที่ใช้ยาคุมฉุกเฉินมากที่สุด
คือ กลุ่มวัยรุ่นอายุระหว่าง 16-24 ปี โดยกว่าร้อยละ 83.3
รู้จักยาคุมฉุกเฉิน และร้อยละ 81.85 เพื่อนแนะนำให้ใช้
อย่างไรก็ตาม มากกว่าครึ่งเข้าใจผิดหรือใช้ไม่ถูกต้อง โดยประเด็นที่เข้าใจผิดมากที่สุด
คือ เข้าใจว่าเป็นยาทำแท้ง
นอกจากนี้ ในปี 2552
มีการผลิตและนำเข้ายาคุมกำเนิดฉุกเฉินกว่า 8 ล้านกล่องต่อปี
ซึ่งล่าสุด ในเดือน ก.พ.2554 กพย.ได้สำรวจการจำหน่ายยาคุมฉุกเฉิน
ในเครือข่ายร้านขายยา 45 แห่งทั่วประเทศ พบว่า
ผู้ซื้อยาคุมฉุกเฉินส่วนใหญ่ร้อยละ 47.73 มีอายุระหว่าง 16-20
ปี รองลงมา คือ กลุ่มอายุ 21-25 ปี ร้อยละ 36.36
กลุ่มอายุ 26-30 ปี ร้อยละ 13.64 และอายุมากกว่า 30 ปี ร้อยละ 2.27 ส่วนใหญ่ผู้ซื้อร้อยละ 70.45 เป็นผู้หญิง โดยอัตราการจำหน่ายยาคุมฉุกเฉินของร้านขายยา
เฉลี่ยวันละ 6.5 กล่อง บางแห่งสูงถึง 25 กล่องต่อวัน ซึ่งมีแนวโน้มการจำหน่ายที่เพิ่มมากขึ้น นั่นแสดงถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า
และไม่ใช้ถุงยางอนามัย
ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาคุมกำเนิดที่ใช้ภายหลังการมีเพศสัมพันธ์
เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์เฉพาะกรณีฉุกเฉินจำเป็นจริงๆ อาทิ กรณีการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ
อย่างการถูกข่มขืน หรือถุงยางอนามัยที่ใช้เกิดรั่ว-แตก เป็นต้น มีประสิทธิภาพในการลดโอกาสตั้งครรภ์ได้ประมาณร้อยละ
89 เท่านั้น และที่สำคัญ
ยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถป้องกันโรคเอดส์ และโรคติดต่อทางเพศ สัมพันธ์ได้
แม้กระทั่งไวรัสตับอักเสบบี และยังเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ เพราะเมื่อนำยาคุมฉุกเฉินมาใช้แทนวิธีคุมกำเนิดแบบธรรมดา
จะกลายเป็นการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพต่ำไปในทันที อีกทั้งยังทำให้เกิดผลข้างเคียง
เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และมีเลือดออกทางช่องคลอด
และอาจเกิดอันตรายจากการใช้ยา ไม่ว่าจะเป็นประจำเดือนมาไม่ปกติ กะปริบกะปรอย บางรายเคยพบปัญหาการตั้งครรภ์นอกมดลูกด้วย
ผศ.ภญ.ดร.นิยดากล่าว
ด้าน น.ส.อุษาสินี ริ้วทอง เจ้าหน้าที่องค์การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการสาธารณสุข
(องค์กรแพธ) กล่าวว่า จากการทำงานเรื่องเพศศึกษาขององค์กรแพธ ในส่วนของคลินิก Lovecare
บริการที่เป็นมิตร พบว่า วัยรุ่นมีความรู้เรื่องยาคุมฉุกเฉินไม่ชัดเจนมากนัก
เข้าใจผิด และคิดว่า เหมือนยาคุมกำเนิดแบบปกติ เด็กจะกังวลเรื่องท้องไม่พร้อมมากกว่าเรื่องการติดเชื้อเอดส์จากการมีเพศ
สัมพันธ์ สำหรับในหลักสูตรเพศศึกษาก็มีการสอนเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉินตั้งแต่ระดับมัธยม
ศึกษาปีที่ 2 จัดกิจกรรมให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียน
ช่วยกันวิเคราะห์ถึงประโยชน์ของยาประเภทนี้ และความจำเป็นในการใช้ยา นอกจากนี้
ในเว็บ teenpath.net ยังพบว่ามีเด็กวัยรุ่นหญิงอายุ 19
ปี ได้มาโพสต์ข้อความเพื่อขอคำปรึกษาจากการมีเพศสัมพันธ์กับแฟน 5-9
ครั้งต่อวันว่าจะเกิดปัญหาอะไรหรือไม่
มีข้อสังเกตด้วยว่า
สถานการณ์เมื่อ 3-4 ปี ก่อนวัยรุ่นไม่ค่อยไปซื้อถุงยางอนามัย
แต่จะไปซื้อยาคุมฉุกเฉินตามร้านขายยา ซึ่งเห็นว่า
ควรมีการให้ความรู้และเปิดโอกาสให้ทุกคนในวัยเจริญพันธุ์ ทุกช่วงวัยเข้าถึงข้อมูลรอบด้านที่ถูกต้องในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
รวมถึงการปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้ใหญ่ หรือเภสัชกรประจำร้านขายยา เมื่อวัยรุ่นไปซื้อผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการคุมกำเนิด
หากมีท่าทีซักถามหรือคาดคั้นมากเกินไปก็จะเป็นการผลักให้วัยรุ่นไม่สบายใจ ที่จะมาซื้อ
นำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน น.ส.อุษาสินี
กล่าว
น.ส.จิรนันท์
คันธี ผู้แทนจากเครือข่ายเยาวชนอาชีวศึกษา กล่าวว่า ในฐานะที่เรียนอยู่อาชีวศึกษาและทำงานเกี่ยวกับการรณรงค์เรื่องเอดส์พบว่า
มีเพื่อนได้มาขอคำแนะนำการใช้ยาคุมฉุกเฉิน และการใช้ถุงยางอนามัย เนื่องจากที่ผ่านมาเพื่อนในชั้นเรียนมีเพศสัมพันธ์กันมาก
และยังมีการใช้ยาคุมฉุกเฉินถึง 20 แผงต่อเดือน
เพราะไม่ทราบถึงผลกระทบที่ตามมา อีกทั้งมีความกังวลเรื่องท้องมาก่อนโดยที่ไม่ไม่คำนึงถึงปัญหาการติดเชื้อ
เพราะเน้นห่วงเรื่องไม่ท้องมาก่อน
|