วันที่
25 กุมภาพันธ์ 2554
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ลิงค์: www.bangkokbiznews.com
เอ็นจีโอไทยร่วมค้านเอฟทีเอสหภาพยุโรป-อินเดีย
หวั่นผูกขาดผลิตยา กระทบประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งไทย ส่งผลกระทบผู้ป่วยเข้าไม่ถึง
สถาบันวิจัยระบบสาธารณ
สุข - องค์กรหมอไร้พรมแดน มูลนิธิอ็อกแฟม เกรทบริเทน และเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ประเทศไทย
ได้ร่วมกันแถลงข่าว
ผลกระทบจากเอฟทีเอ สหภาพยุโรป - อินเดีย ในมุมมองของเครือข่ายผู้ป่วยและคนทำงานด้านการเข้าถึงยาในไทย
ซึ่งในวันที่ 2 มีนาคม
จะมีการประชุมใหญ่ที่กรุงนิวเดลลี ประเทศอินเดีย เพื่อคัดค้านในประเด็นการผูกขาดของอุตสาหกรรมยาข้ามชาติ
นายพอล
คอว์ธอร์น ฝ่ายรณรงค์เข้าถึงยาจำเป็น องค์กรหมอไร้พรมแดน กล่าวว่า การเจรจาเอฟทีเอ
สหภาพยุโรป - อินเดีย มีการเจรจามากว่า 1 ปีแล้ว และคาดว่าจะลงนามกันในกลางปีนี้
ซึ่งเราต่างกังวลว่าทางสหภาพยุโรปจะบีบให้มีการตกลงในประเด็นด้านยาที่มากไป กว่าทริบพลัสขององค์การอนามัยโลก
โดยเฉพาะในเรื่องการผูกขาดข้อมูลยา เพราะอินเดียเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกยาสามัญที่สำคัญ
รวมถึงยาต้านไวรัสเอดส์ โดยยาสามัญ 90% ส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้อินเดียไม่สามารถผลิตยาสามัญและยาต้าน
ไวรัสเอดส์ได้เท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาไม่มียาใช้
นายพอล
กล่าวว่า สิ่งที่เรากำลังกังวลใจขณะนี้คือนายมานโมฮัน ซิงห์ ( Manmohan Singh)
นายกรัฐมนตรี ประเทศอินเดียอยากให้มีการลงนามเอฟทีเอ โดยเร็วจึงมีการกดดันคณะเจรจาเอฟทีเอของอินเดีย
ซึ่งเราเป็นห่วงว่าอาจมีการลงนามโดยรับข้อตกลงของทางสหาภาพยุโรป โดยเฉพาะการผูกขาดข้อมูลยา
ดังนั้นทางเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศอินเดียจึงเตรียมรวมตัวเพื่อ จะประท้วงครั้งใหญ่
มีเครือข่ายจากทุกรัฐในอินเดียวร่วมประมาณ 2,500 คน
นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายจากประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าร่วม
อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย เนปาล บังคลาเทศ และไทยเข้าร่วม โดยจะเดินจากใจกลางเมืองไปยังรัฐสภาอินเดีย
เพื่อแสดงจุดยืนไม่เอาข้อตกลงทริบพลัส และการผูกขาดข้อมูลทางยา
ทั้งนี้หากอินเดียลงนามข้อตกลง
ไทยก็จะได้รับผลกระทบแน่นอน เนื่องจากไทยมีการนำเข้ายาจากอินเดียอย่างมาก
โดยเฉพาะกลุ่มยาต้านไวรัส ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยไม่มียาใช้ นอกจากนี้หากสหภาพยุโรปสามารถลงนามกับอินเดียได้
ก็จะนำข้อตกลงดังกล่าวมาบีบบังคับให้ประเทศเล็กๆ อย่างไทยยอมรับด้วย ดังนั้นจึงต้องช่วยกันจับตา
ขณะนี้ประเทศมาเลเซีน อินโดนีเซีย ต่างกังวลเรื่องนี้อย่างมาก โดยในมาเลเซียจะมีการจัดชุมนุมประท้วงเพื่อแสดงความเห็นคัดค้านในวันที่
28 กพ. นี้
ด้านนายเฉลิมศักดิ์
กิตติตระกูล อ็อกซ์แฟม เกรทบริเทน กล่าวว่า การผูกขาดข้อมูลทางยานั้น
จะทำให้ผู้ผลิตยาสามัญไม่สามารถผลิตยาได้ ซึ่งหากมีอายุที่ต่อจากสิทธิบัตร
จะเท่ากับเป็นการต่ออายุการผูกขาดไปถึง 20 ปี
ซึ่งกรณีนี้เคยมีการเจราจาในเอฟทีเอ สหรัฐ - จอร์แดนมาแล้ว และผลที่ตามมาคือทำให้ยามีราคาแพงขึ้น
20% อีกทั้งทำให้จอร์แดนไม่มียาสามัญใช้
ขณะทีน.ส.กรรณิการ์
กิจติเวชกุล เจ้าหน้าที่รณรงค์การเข้าถึงการรักษาขององค์การหมอไร้ พรมแดน-เบลเยียม (ประเทศไทย)
กล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวยังทำให้การประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา
หรือซีแอลทำไม่ได้ เพราะแม้ประกาศไปก็จะไม่มียาสามัญนำเข้า ซึ่งที่ผ่านมาเราได้เข้าพบทูตสหภาพยุโรปเพื่อแสดงความเป็นห่วงกรณีดังกล่าว
แล้ว นอกจากนี้ทางเครือข่ายผู้ป่วยเอชไอวีเอดส์จะเดินทางไปร่วมชุมนุมที่กรุงนิ วเดลี
สำหรับความคืบหน้าการเจราจาเอฟทีเอไทย - สหภาพยุโรป ในปีแล้วรัฐบาลได้ตั้งคณะทำงานเพื่อรับฟังความเห็นเพื่อที่รวบรวมนำเสนอต่อ
ครม. ว่าควรจะเจราจาหรือไม่ แต่ผลสรุปออกมาแล้วกลับไม่เคยนำเข้า ครม.พิจารณา
แต่กลับนำไป ร่างกรอบการเจรจาและดูว่าสหภาพยุโรปต้องการเจราจาเรื่องใดบ้าง เพื่อนำเข้า
ครม.โดยไม่ฟังเสียประชาชน ซึ่งเรื่องนี้เรากำลังติดตามอย่างใกล้ชิด
|