วันที่: 23 สิงหาคม 2554
ที่มา: เว็บไซต์ สสส. (www.thaihealth.or.th)
ลิงค์: www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/24008
กพย. เสนอรื้อกฎหมายยา หลังพบว่า ค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศไทยปี 2551 มีมูลค่าสูงถึง 2.7
แสนล้านบาท
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่โรงแรมเดอะทวิน ทาวเวอร์ ผศ.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี
ผู้จัดการแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) คณะเภสัชศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในการประชุม วิชาการเพื่อพัฒนาระบบยา ประจำปี 2554 ระหว่างวันที่ 22-23 สิงหาคมนี้
สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ในการส่งสัญญาณเตือนภัยเงียบจากระบบยาของไทย ที่ควรมีมาตรการควบคุมอย่างเป็นระบบ
และกระตุ้นให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ยาอย่างถูกวิธี ว่า
ข้อมูลจากการสาธารณสุขไทย ระหว่างปี 2551-2553 พบว่า ค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศไทยปี
2551 มีมูลค่าสูงถึง 2.7 แสนล้านบาท
หรือคิดเป็นร้อยละ 46 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ
ขณะที่ในประเทศพัฒนาแล้วมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านยาเพียงร้อยละ 10-20 เท่านั้น
ผศ.ภญ.นิยดา กล่าวว่า ยังพบสัดส่วนค่ายามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
เฉลี่ยร้อยละ 8-10 ต่อปี
รวมทั้งมูลค่ายานำเข้าก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีสัดส่วนเพิ่ม
มากกว่ายาที่ผลิตในประเทศ
เนื่องจากวัตถุดิบสารสำคัญในการผลิตยาเป็นการนำเข้าเกือบทั้งสิ้น
การประชุมวิชาการครั้งนี้มุ่งเสนอสถานการณ์การใช้ยาที่ไม่เหมาะสม สภาพปัญหาการใช้ยาในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทย
รวมทั้งข้อเสนอแนะการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง
ที่สำคัญในการประชุมจะมีการเสนอให้แก้ พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510
ที่ไม่ทันสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งเรื่องการขึ้นทะเบียนตำรับยา
โดยเฉพาะกลุ่มยาใหม่การทบทวนตำรับยาอย่างเป็นระบบ การควบคุมการส่งเสริมการขายยา
รวมทั้งบทกำหนดโทษของการโฆษณาที่ตั้งไว้อ่อนมาก เป็นต้น
"กพย.จะเปิดให้ประชาชนร่วมลงชื่อสนับสนุนร่าง
พ.ร.บ.ยาฉบับประชาชน ให้ครบ 1 หมื่นรายชื่อ
เพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้ในร่าง พ.ร.บ.ยาใหม่นี้จะเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายยาแห่งชาติ
มีระบบการควบคุมราคา จัดตั้งกองทุนเพื่อติดตามการใช้ยา การส่งเสริมการขายยา
รวมทั้งการเยียวยาช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาจากอาการไม่พึงประสงค์อย่างเป็น
ระบบ" ผศ.ภญ.นิยดากล่าว
หลังจากนั้นมีการอภิปรายเรื่อง "การพัฒนาระบบยา
: อะไรคือปัญหาและความท้าทายที่รออยู่"
โดยสรุปว่าระบบการใช้ยาแบ่งเป็น 3 ระบบใหญ่ คือ 1.ระบบการใช้ยาในโรงพยาบาล ที่มีการใช้ยาแตกต่างกัน เช่น
โรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง)
จะใช้ยาน้อยเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
ขณะที่โรงพยาบาลรัฐที่ดูแลผู้ป่วยในระบบสวัสดิการข้าราชการ
และโรงพยาบาลเอกชน จะใช้ยาจำนวนมากเพื่อเพิ่มรายได้ 2.ระบบการใช้ยาในร้านขายยา
เป็นระบบที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายโดยไปซื้อยามากินเอง
แต่มีโอกาสสูงที่จะใช้ยาโดยไม่เหมาะสม และ 3.ระบบการใช้ยาแผนโบราณ
มีปัญหาด้านคุณภาพมาตรฐาน มีการปนเปื้อนสเตียรอยด์
มีสารตกค้างในร่างกายสร้างผลเสียทางสุขภาพให้แก่ประชาชนมาก
|