อภ.จับมือสถาบันคาเคทซูเคนจากญี่ปุ่น ถ่ายทอดเทคนิคผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ขั้นอุตสาหกรรม คาดปี 57 เริ่มผลิตล็อตแรก 2 ล้านโดส และสามารถรับมือการระบาดใหญ่ได้

นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นายมาซาโตะ โอตากะ อัครราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ร่วมเป็นประธานในพิธีลงนามเรื่อง “สัญญาความช่วยเหลือด้านเทคนิคการผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ในระดับ อุตสาหกรรม” ระหว่างองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กับสถาบันคาเคทซูเคน ประเทศญี่ปุ่น ตามโครงการที่ อภ.ได้รับมอบหมายจาก สธ. และการสนับสนุนงบจากองค์การอนามัยโลก ประสบความสำเร็จในการทดลองในอาสาสมัครครบทั้ง 3 กลุ่มอายุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยพบว่าวัคซีนมีความปลอดภัยสามารถสร้างภูมิคุ้มกันไข้หวัดใหญ่ได้ดี และไม่มีผลข้างเคียงอันตรายร้ายแรง ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อผลิตเป็นวัคซีนใช้กรณีเกิดการระบาดใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา และการลงนามข้อตกลงกับทางสถาบันคาเคทซูเคนครั้งนี้ จะถือเป็นก้าวสำคัญในการก่อตั้งโรงงานผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคของประเทศ ไทยในระดับอุตสาหกรรมต่อไป

นายอากิโนบุ ฟูนาซุ ประธานสถาบันคาเคทซูเคน กล่าวว่า สถาบันคาเคทซูเคนก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2488 ปีนี้ครบรอบ 66 ปี มีวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งเพื่ออุทิศช่วยเหลือในการป้องกันและพัฒนาการ รักษาโรค เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีให้กับประชาชน ซึ่งรู้สึกยินดีที่ได้นำความรู้ที่มีมาทำประโยชน์ให้กับประเทศไทย และหวังว่าทาง อภ.จะนำไปช่วยผลักดันงานด้านสาธารณสุขของไทยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป

ด้าน นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวย อภ. กล่าวว่า การก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนของ อภ.ที่จ.สระบุรีนั้น ขณะนี้การก่อสร้างมีความคืบหน้าไปมากกว่า 50% แล้ว และอยู่ระหว่างการสั่งนำเข้าเครื่องจักรและการติดตั้งระบบ ส่วนด้านการวิจัยก็มีความคืบหน้าไปมาก ส่วนการลงนามความร่วมมือกับทางสถาบันคาเคทซูเคนถือเป็นก้าวหนึ่งในการเดิน หน้าเพื่อผลิตวัคซีนในระดับอุตสาหกรรม ทั้งนี้ตามแผนคาดว่า ในปี 2557 จะสามารถผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ตามฤดูกาลได้ล็อตแรก จำนวน 2 ล้านโดส และสามารถเพิ่มกำลังผลิตได้เป็น 10 ล้านโดสต่อปี โดยจะเป็นการผลิตวัคซีนจากเชื้อตายก่อน แต่ในกรณีที่เกิดการระบาดใหญ่จะเป็นการผลิตวัคซีนเชื้อเป็น ที่ได้วิจัยและพัฒนาไปพร้อมกัน.