อย.โชว์ผลงานส่งท้ายปี บุกจับคลินิกเสริมความงามชื่อดัง ลักลอบฉีดสารหน้าขาว ยึดของกลางมูลค่า 20 ล้าน เตรียมขยายผลจับเพิ่มอีก 60 สาขาทั่วประเทศ ไม่เว้นทั้งเจ้าของและแพทย์ผู้ให้บริการ อาจถึงขั้นถูกถอดใบประกอบโรคศิลปะ...

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ พ.ต.อ.ไพฑูรย์ คุ้มสระพรหม รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ( บก. ปคบ.) ร่วมแถลงข่าวจับ “พงศ์ศักดิ์คลินิก” คลินิกบริการเสริมความงาม โดย นพ.พิพัฒน์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ อย.ได้รับเรื่องร้องเรียนว่า คลินิกดังกล่าวมีการใช้ยาที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน จึงได้ร่วมกับบก.ปคบ. เข้าจับกุมทั้ง 3 สาขา ประกอบด้วยสำนักงานใหญ่ จ.ระยอง สาขาห้วยขวาง และสาขาอนุสาวรีย์ โดยพบว่ามีการใช้เครื่องมือแพทย์และยาฉีดเสริมความงามต่างๆ ที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน ซึ่งเป็นของปลอม รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท

ทั้งนี้ ที่สำนักงานใหญ่ จ.ระยอง ตรวจพบยาฉีดที่มีการลักลอบนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ที่ไม่ได้ขอขึ้นทะเบียนตำรับยาจาก อย. อ้างว่า ใช้รักษารอยเหี่ยวย่น ทำให้ใบหน้าขาวใส ชะลอความแก่ จำนวน 30 รายการ เช่น ยาฉีดโบท็อกซ์, ยาฉีดฟิลเลอร์ เสริมจมูก เสริมคาง, ยาฉีดกลูตาไธโอน , ยาฉีดพลาเซนต้า (รกแกะ), ยาฉีดแอลคานีทีน และยาฉีดวิตามินซีผสมคอลลาเจน เป็นต้น รวมทั้งพบยาลดความอ้วนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน และส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

นพ.พิพัฒน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังพบเครื่องมือแพทย์ที่ใช้เกี่ยวกับเสริมความงามบนใบหน้าที่ไม่ได้ขึ้น ทะเบียนและจดแจ้งจาก อย. จำนวน 15 รายการ เช่น เครื่องนวดร้อนเย็น 2 เครื่อง เครื่องไอออนโต 2 เครื่อง เครื่องสลายไขมัน 1 เครื่อง เครื่องยิงเลเซอร์ด้วยรังสีอินฟราเรด 2 เครื่อง เครื่องนวดหน้า 1 เครื่อง เครื่องยกกระชับผิวหน้า 1 เครื่อง เครื่องรักษาไฝ 1 เครื่อง เครื่องลบรอยปานดำ 1 เครื่อง เครื่องลบรอยจุดกระด่างดำ 1 เครื่อง เครื่องรักษาผิวพรรณอื่น ๆ 3 เครื่อง โดยเครื่องมือแพทย์ผิดกฎหมายทั้งหมด ได้อายัดไว้ในที่เกิดเหตุ



อย่างไรก็ตาม จากการจับกุมครั้งนี้ อย.เตรียมขยายตรวจจับสาขาต่างๆทั่วประเทศ อีก 50-60 สาขา เนื่องจากพบว่าการใช้ยา เครื่องมือแพทย์ต่างๆ ต้องรับตรงมาจากสำนักงานใหญ่ ที่ จ.ระยอง เพียงแห่งเดียว ดังนั้น หากพบว่ายังมีการใช้เครื่องมือแพทย์ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องเป็นของปลอม จะเข้าข่ายความผิดเช่นเดียวกับที่ตรวจจับคลินิก 3 แห่งนี้ และจะเอาผิดผู้ที่ให้บริการ ซึ่งหากเป็นแพทย์ จะมีความผิดฐานจริยธรรม โดยจะส่งไปยังแพทยสภาพิจารณา ซึ่งถ้ามีความผิด อาจถึงขั้นต้องพิจารณาถอดใบประกอบโรคศิลปะ ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทยสภา

นพ.พิพัฒน์ กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบทะเบียนสถานพยาบาลแห่งนี้ ระบุชื่อ นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี เป็นเจ้าของ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาความผิดในฐานะเจ้าของสถานประกอบการ โดยจะส่งเรื่องให้แพทยสภาพิจารณาว่าผิดจริยธรรมด้วยหรือไม่ เพราะเจ้าของคลินิกเป็นแพทย์ จะมาบอกว่าไม่ทราบว่า ยาเป็นของจริงของปลอมไม่ได้ เพราะตัวยาเหล่านี้หากส่วนผสมไม่ถูกต้อง ไม่มีคุณภาพ อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อย่างฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นสารเติมเต็ม หากเป็นสารไม่ได้คุณภาพ หรือการฉีดไม่ได้รับความชำนาญจริงๆ จะทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ เพราะที่ผ่านมาเคยมีคนไข้ 1 ราย ฉีดเสริมเนื้อจมูก ปรากฏว่า ฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นสารที่มีอนุภาคใหญ่ไปอุดเส้นเลือดบริเวณดวงตา ส่งผลต่อการมองเห็น ทำให้ตามัว ตาบอด แต่รายนี้มีการตกลงกันและยอมความกัน

ด้าน พ.ต.อ.ไพฑูรย์ กล่าวว่า สำหรับการแจ้งข้อหา ประกอบด้วย 1. ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2. นำเข้าเครื่องมือแพทย์โดยไม่แจ้งรายการละเอียด มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ 3. นำเข้าเครื่องมือแพทย์ที่ไม่มีหนังสือรับรองประกอบการนำเข้า มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ