ค้นหาภายในเว็บไซต์
สถิติ
ปรับปรุง : 7/03/2018
สถิติผู้เข้าชม:6696687
การเปิดหน้าเว็บ:9564621
Online User Last 1 hour (0 users)
84 นักวิชาการยื่นจม.ยิ่งลักษณ์จี้กรมเจรจาการค้ายุติผูกขาดตลาดยา
05 กันยายน 2555
ดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็มที่นี่
วันที่: 5 กันยายน 2555
ที่มา: Health Focus
ลิงค์:
www.healthfocus.in.th/content/2012/09/1125
84 นักวิชาการยื่นจดหมายถึงนายกฯยิ่งลักษณ์ คัดค้านข้อสรุปของกรมเจรจาการค้าฯ ที่ให้ยอมรับทริปส์พลัส หากทำเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป
จากการที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พยายามเร่งให้เกิดการเจรจาเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป และได้ทำข้อสรุปเสนอต่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีว่า ควรให้ไทยมีท่าทีการเจรจาที่ยืดหยุ่นและยอมรับข้อผูกพันที่มากกว่า TRIPs หรือยอมรับ TRIPs Plus โดยให้เหตุผลว่า การคุ้มครองข้อมูลทดสอบยา (Data Exclusivity) เพิ่มเติม 5 ปี จะไม่มีผลกระทบต่อราคายาในปัจจุบัน และการคุ้มครองข้อมูลทดสอบยา อาจมีผลทำให้ยาสามัญ (Generic drugs) วางตลาดได้ช้าลงแต่ไม่เกิน 5 ปี จึงทำให้ผลกระทบต่อยามีจำกัดนั้น
ผศ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี หัวหน้าหน่วยวิจัยเภสัชศาสตร์สังคม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า นักวิชาการด้านเภสัชศาสตร์ การแพทย์ การสาธารณสุข การพัฒนาสังคม การคุ้มครองผู้บริโภค และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ทั้งสิ้น 84 คน ได้ทำจดหมายถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คัดค้านข้อสรุปของกรมเจรจาการค้าฯ ที่ให้ยอมรับทริปส์พลัส หากทำเอฟทีเอกับสหภาพยุโรป
ข้อสรุปของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศในฐานะเลขานุการการประชุมระดับสูงเพื่อพิจารณาเตรียมการเปิดการเจรจาการค้าเสรีของไทย เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ที่ผ่านมาเป็นการสรุปที่บิดเบือนจากความเป็นจริง และไม่ได้มีการใช้องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องที่มีอยู่ ซึ่งจะชี้นำทิศทางที่ผิดพลาดให้แก่รัฐบาลของนายกฯยิ่งลักษณ์ที่มีนโยบายสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำในระบบสุขภาพ
เพราะการคุ้มครองข้อมูลทดสอบยาหรืออีกนัยหนึ่งคือ การผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยา (data exclusivity) เป็นการสร้างระบบการผูกขาดทางการตลาดยาขึ้นใหม่ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น สิทธิบัตรอำพราง เพื่อเพิ่มการผูกขาดของสิทธิบัตรที่มีอยู่เดิม โดยอาจมีระยะเวลาการผูกขาดเพิ่มมากขึ้นถึง 10 ปี และจากประสบการณ์ในหลายประเทศ เช่น โคลัมเบีย หลังจากที่สหภาพยุโรปบังคับให้มีการผูกขาดข้อมูลยา 10 ปี ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศเพิ่มขึ้นถึง 340 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (10,200 ล้านบาท) ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยในไทย ที่พบว่า ถ้าปล่อยให้มีการผูกขาดข้อมูลการขึ้นทะเบียนตำรับยาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 (ซึ่งเป็นปีที่ทำการศึกษา) ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาของไทยในอีกห้าปีข้างหน้า (พ.ศ. 2556) จะสูงถึง 81,356 ล้านบาทต่อปี
พวกเราในฐานะนักวิชาการด้านเภสัชศาสตร์ การแพทย์ การสาธารณสุข การพัฒนาสังคม การคุ้มครองผู้บริโภค และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ทั้ง 84 คนจึงได้ทำจดหมายเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียืนยันที่จะกำหนดไว้ในกรอบการเจรจาเอฟทีเอ ไทย-สหภาพยุโรปที่จะไม่รับข้อเรียกร้องที่เกินไปกว่าความตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญา หรือ ความตกลงทริปส์ ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายแห่งชาติด้านยา พ.ศ. 2554 และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. 2555-2559 และขอให้การเจรจาเอฟทีเอกับสหภาพยุโรปที่จะมีขึ้นรอผลการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติกำลังดำเนินการอยู่ โดยที่ พวกเราพร้อมให้ความสนับสนุนด้านวิชาการแก่รัฐบาล เพื่อให้การเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้ผลประโยชน์กับประเทศชาติอย่างสูงสุดและสร้างความยั่งยืนของระบบงบประมาณเพื่อการเข้าถึงยาของประชาชน
ทั้งนี้จดหมายดังกล่าวได้สำเนาถึงนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี, นายบุญทรง เตริยาภิรมณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายวิทยา บูรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขด้วย
หมายเหตุ: ดาวน์โหลดจดหมายและรายชื่อนักวิชาการได้จากลิงค์ด้านบนทางขวามือ